เห็นหิ่งห้อยครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ครับ ? ผมนี่แบบว่าจำอายุไม่ได้แล้วครับ แบบว่านานมากๆ ห้าๆๆๆ ตั้งแต่เด็กๆ ตอนที่อยู่ต่างจังหวัดครับ วันนี้ผมมีร้านอาหารบรรยากาศดี มีหิ่งห้อยให้ดูด้วยน้า (กลางเมืองกรุงเทพแบบนี้ไม่น่ามีหิ่งห้อยอยู่ได้ !!!) แอบประหลาดใจเหมือนกันครับ แว๊บแรกที่รู้ว่ามีร้านอาหารที่มีหิ่งห้อยให้ดู รีบจองโต๊ะในทันทีครับ อยากเห็นหิ่งห้อยมากๆ ว่าจะไปอัมพวาไม่ได้ไปซักที เดินทางไกลไปนิส วันนี้มีหิ่งห้อยให้ดูในกรุงเทพพลาดได้ไงเนอะ ^^
สำหรับร้านที่ผมไปชิมอาหารมาวันนี้ก็คือ “วังหิ่งห้อย” (Wanghinghoi) ร้านนี้เค้ามีการจำลองระบบนิเวศและความสมบรูณ์ของป่ามาไว้ในเมืองครับ ซึ่งความสมบรูณ์ของป่านี่เองที่ทำให้หิ่งห้อยสามารถอาศัยอยู่ได้ครับ นั่งกินข้าวไปชมหิ่งห้อยไป ฟินมั๊ยล้า ร้านวังหิ่งห้อย (Wanghinghoi) เปิดให้บริการเพียงแค่ 18 เดือนเท่านั้นนะครับ ตามวงจรชีวิตของหิ่งห้อย และจะแบ่งเป็น 4 ธีม คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่ละช่วงจะมีการเปลี่ยนธีมของร้านและอาหารที่เสิร์ฟครับ ใครอยากลองไปชิมรีบกันหน่อยนะครับ หรือใครอยากจะไปลองให้ครบทั้ง 4 ธีม ก็น่าสนใจดีนะครับ ^^
เกริ่นยาวมาก สำหรับร้านนี้ ไปดูบรรยากาศของร้านกันดีกว่าเนอะ
ร้านวังหิ่งห้อยจะเปิดตั้งแต่ 18.00 – 24.00 น. ผมแนะนำว่าไปค่ำนิดก็ดีครับ
จะได้ไม่ต้องรอหิ่งห้อยออกมากระพริบไฟนาน…
จากที่คุยกับพนักงาน แจ้งว่าหิ่งห้อยจะออกมาบินประมาณ 19.00 น. ครับ ซึ่งทางร้านแจ้งผ่านเสียงตามสายครับ
(เสียงตามสายโบราณไปมั๊ยครับ ห้าๆๆๆ)
พอเข้าไปในร้าน ซ้ายมือก็จะเป็นเค้าเตอร์บาร์ อยากดื่มค็อกเทลอะไรสั่งได้เลยครับ
ดื่มเรียกน้ำย่อย เปิดตุ่มรับรสกันซักหน่อย ^^
ส่วนของโต๊ะอาหาร ก็จะกระจายๆ ไม่อึดอัดมาก ส่วนตรงกลางร้านจะเป็นการจำลองระบบป่าสมบรูณ์มาให้เราชมกันครับ
ส่วนของโต๊ะอาหารด้านนอก ถ้าถึงเวลาชมหิ่งห้อย ต้องเดินมาชมที่หลังร้านนะครับ
แต่ถ้ามากันหลายๆ คนแนะนำให้ขอห้อง VIP ครับ
ถ้ามากัน 10 คน สามารถใช้บริการห้อง VIP ได้ฟรี ห้องนี้สามารถชมหิ่งห้อยได้โดยไม่ต้องลุกจากโต๊ะครับผม ^^
ส่วนนี้เป็นห้องหิ่งห้อยครับ
พอดีผมไปเร็วนิสนึง ตอนนี้ยังมีแสงอยู่เลย หิ่งห้อยยังไม่ออกบิน T_T ถ้าซัก 6 โมงร้านจะปิดม่านด้านบน ให้มืดกว่าปกติ
หิ่งห้อยเค้าจะมีนาฬิกาประจำตัวเค้าครับ ประมาณซัก 19.00 น. จะเริ่มออกมาบินครับ
ระหว่างรอหิ่งห้อย ชิมอาหารแบบ Fine Dining อร่อยๆ กันก่อนก็แล้วกันเนอะ
วันนี้กินหรูหรานิดนึงนะครับ
พอไปถึงก็สั่งเครื่องดื่มมาเรียกน้ำย่อยกันก่อนซักนิสนึง
พร้อมเลือก Main Course แล้วก็นั่งชมธรรมชาติ
คุยกับเพื่อนไปพลางๆ ก่อนแป๊บ
เครื่องดื่มมาแล้น พร้อมเมนูแรก AMUSE BOUCHE (WHH Tradition Welcome Bites)
ดื่มเปิดตุ่มรับรสกันซักนิดนึง ^^
ส่วนของ AMUSE BOUCHE (WHH Tradition Welcome Bites) พรีเซ้นออกมาได้สวยงามมากครับ
เสิร์ฟพร้อมขนมปังนิ่มมากๆ
AMUSE BOUCHE จะประกอบไปด้วย เมนูซีฟู้ด เมี่ยงใบบัว ตับไก่ และลาบดิบ ครับ
เมนูอาหารของที่นี่ประทับใจอย่างนึงคือ…
ถ้าไม่ชิมไม่รู้เลยครับว่ารสชาติอาหารแบบไทยๆ เรานี่เองครับ
ชอบมาก ^^
เข้าสู่เมนูเรียกน้ำย่อยกันเลยดีกว่านะครับ หิวแล้น
Appetizer วันนี้ก็คือ… ซี่โครงหมูสะเต๊ะ (Pork Rib Satay) รสชาติสะเต๊ะเข้าเนื้อซี่โครง เปื่อย น้ำจิ้มสะเต๊ะทำมาเข้มข้น กินกับกระเทียมหน่อย แตงกวาฝานมาม้วน ดองมานิดหน่อย อร่อยดีครับ
ต่อกันที่ Appetizer อีกซักเมนูกับ Savoury Sea Bass Cake เมนูนี้ได้อินสปายเรชั่นมาจาก หมกปลา แบบไทยๆ ครับ
เนื้อ Cake แน่นๆ หอมๆ มันๆ
เมนูนี้ผมชอบมากครับ
“WHH Tom Yum Tiger Prawn” ต้มยำกุ้งน้ำข้น กุ้งลายเสือ เวลาเสิร์ฟพนักงานจะมาเทซุปให้ที่โต๊ะ
กินแล้วนึกถึงซุปล็อบสเตอร์ เข้มข้นคล้ายๆ กัน
แต่เมนูนี้จะได้กลิ่นสมุนไพร ข่า ตะไคร้ ใบมะกูด (เครื่องต้มยำ) และรสจะเปรี้ยวนิดๆ
ตามสไตล์ต้มยำกุ้งแบบไทยบ้านเราครับ ^^
เริ่มคุ้นๆ มั๊ยครับ มาเดากันซักหน่อยมั๊ยครับ ว่าเมนูนี้คือเมนูอะไร ?
…
.
เดากันถูกมั๊ยครับ
เมนูนี้ก็คือ… “Pomelo Garden” เรียกง่ายๆ ว่า ยำส้มโอนั่นเองครับ
ทางเชฟจะใช้ทั้งส้มโอหวานและขม
โรยด้วยปลากรอบและหอมเจียว
Side Dish จะเป็นซอสบีทรูทและซอสใบมะกรูด
ส่วนตัวไม่ค่อยชอบส้มโอขมครับ ปกติก็ไม่ค่อยชอบอยู่แล้วครับ
ส่วนของรสชาติยังไม่ค่อยได้ความจัดจ้านแบบไทยๆ
แต่ได้กลิ่นครบครับ ^^
ก่อนเข้าสู่ Main Course เชฟก็อยากให้เรา Refresh นิดนึง
จัดอีกซักกับ ซอร์เบต์ตะลิงปลิง สดชื่นมาก
ชอบมากครับ ไม่ค่อยได้กินตะลิงปลิงซักเท่าไหร่
พอทำมาแบบนี้ก็กินง่ายขึ้นเยอะครับ
Main Course วันนี้ผมเลือกเป็น “Spicy Duck Confit” แกงเผ็ดเป็ดย่าง
Slow Cooked มากว่า 48 ชั่วโมง
เนื้อเป็ดเปื่อยมาก หนังกรอบ ซอสด้านล่างเข้มข้น
ใครไม่อยากกินเป็ดทางร้านมีปลาและเนื้อวากิว ให้เป็นทางเลือกครับ ส่วนของเนื้อวากิวคิดเงินเพิ่ม 900++ นะครับ
ปิดท้ายกันที่ของหวานอย่าง “Young Coconut Panna Cotta” พานาคอตต้ามะพร้าวอ่อน
เนื้อมะพร้าวเยอะ กินแล้วสดชื่น
อีกซักเมนูเนอะกับของหวานอย่าง “Thai Charcoal Pudding” ขนมเปียกปูนเคลือบไวท์ช็อกโกแลต
เมนูแปลกดีครับ ไม่คิดว่าขนมเปียกปูนจะเข้ากั้น เข้ากัน กับไวท์ช็อกโกแลต ^^
หลังจากอิ่มหน่ำสำราญแล้วก็ได้เวลาชมงานศิลปะกันซักหน่อย
ทางร้านได้มีการนำเอาเครื่องปั้นดินเผาผลงานของอาจารย์สมลักษณ์ ปันติบุญ มาใช้งานหลายๆ จานในเมนูที่มาเสิร์ฟ
ใครอยากได้ไปใช้ที่บ้านสามารถซื้อได้ที่ Gallery นี้ครับ
ใครสนใจงานศิลปะชิ้นนี้ ไม่แพงครับ 750,000 บาท เท่านั้น ไปชมกันได้ฮะ
กินอย่างละนิด อย่างละหน่อย อิ่มใช้ได้เลยครับ มาสรุปภาพรวมของร้าน “วังหิ่งห้อย” (Wanghinghoi) กันซักหน่อยเนอะ ส่วนของบรรยากาศผมชอบมากๆ ครับ ไม่ค่อยได้เห็นร้านอาหารบรรยากาศแบบนี้ในกรุงเทพซักเท่าไหร่ ส่วนของรสชาติอาหารอร่อยดีครับ ใครที่ชอบอาหารแนว Fine Dining แต่อยากได้รสชาติแบบไทยๆ ต้องลองเลยครับ เด็ดแน่นอน
ส่วนของราคา 2400++ บาท อาหารทั้งหมด 5 จาน ถ้าเทียบกับบรรยากาศและความพิถีพิถันในการรังสรรค์อาหารมาเสิร์ฟ ผมว่าไม่แพงนะครับ บรรยากาศดีๆ แบบนี้ โอกาสพิเศษ พาคนพิเศษ ไปดินเนอร์กันได้น้า ^^
ส่วนของการเดินทางไปชมหิ่งห้อย กินอาหารแบบ Fine Dining บรรยากาศดี๊ดี ที่ “วังหิ่งห้อย” (Wanghinghoi) ร้านอยู่ที่สนามกอล์ฟ R.C.A Driving Range ถ.กำแพงเพชร 7 ครับผม แผนที่การเดินทางก็ด้านล่างนี้เลยจ้า อ้อ… อย่าลืมโทรไปจองโต๊ะกันก่อนนะครับ ที่เบอร์ 091-979-6226 ครับผม
[put_wpgm id=18]