มีใครได้อ่านรีวิววังหิ่งห้อยครั้งก่อนของผมบ้างมั๊ยครับ ถ้ายังไม่ได้อ่านลองอ่านที่นี่ รีวิววังหิ่งห้อย ได้เลยครับผม สำหรับวังหิ่งห้อยไฮไลท์ของที่นี่ก็ต้องเป็นเรื่องของอาหารที่ยากจะบรรยาย (เดี๋ยวเล่าให้ฟังน้า) และสามารถชมหิ่งห้อยได้กลางกรุงเทพนั่นเองครับ อ้อ…อีกอย่างนึงที่ทำให้ผมเซอร์ไพรส์มากๆ ก็คือ “วังหิ่งห้อย” จะเปิดให้บริการเพียง 18 เดือนเท่านั้นครับ ตามวงจรชีวิตของหิ่งห้อยครับ โดยทุกๆ 4 เดือนจะมีการเปลี่ยนคอนเซปท์ตาม ธาตุแห่งชีวิต ดิน น้ำ ลม ไฟ ผ่านอาหาร บรรยากาศภายในร้าน รวมถึงพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะ Glow Museum ครับผม
สำหรับวันนี้ วันที่ผมไปรีวิวอีกครั้ง #Part2 จะเป็นส่วนของธีม “ลม” ครับ เชฟทั้ง 3 คน เชฟนิค, เชฟอ๊อฟ และเชฟอ้น อยากให้ทุกคนที่ได้ลิ้มลองอาหารได้มีความสุขที่สุด ดั่งคำในภาษาอังกฤษ “Cloud 9” ที่แปลว่า ความสุขอันสูงสุด จึงเป็นที่มาของชื่อ Course Set ในครั้งนี้ นั่นเองครับ ส่วนของ Course ก็จะประกอบไปด้วย Amuse Bouche และ Course Set 7 เมนู ราคา 2,590++ บาทครับ
ก่อนจะไปดูว่ามีอะไรกินบ้าง อาหารแต่ละอย่างมีความพิเศษยังไงชมบรรยากาศของร้านกันอีกซักรอบนึงนะครับ ^^
เริ่มต้นกันที่ทางเข้าของห้องอาหารกันก่อนเลยก็แล้วกันนะครับ จะบอกว่าไปยืนถ่ายรูปตรงนี้สวยมากๆ ครับ เหมือนเค้าเจาะช่องให้เราไปยืน หน้าของเราจะอยู่ตรงช่องว่างตรงกลางกลีบดอกไม้ที่กำลังปลิวอยู่เลยครับ ลองไปถ่ายรูปเล่นกันดูครับ ขอบอก…
ส่วนของห้องอาหารบรรยากาศไม่ต่างจากครั้งก่อนเท่าไหร่ครับ
แต่อาหารจะบอกว่าเด็ดมาก
อยากจะลองทุกๆ ธีมของวังหิ่งห้อยเลยครับ
คือ… แบบว่ามีลุ้นว่าธีมต่อไปอาหารจะเป็นยังไง ห้าๆๆๆ สนุกดีนะครับ ^^
ส่วนของห้องอาหารก็จะมีที่ให้นั่งรอบๆ ตรงกลางเป็นสวนครับ
ส่วนของหิ่งห้อยจะอยู่โซนด้านหลังครับ
แนะนำว่า ถ้าอยากดูหิ่งห้อยประมาณซัก 1 ทุ่มจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดครับ หิ่งห้อยกำลังมีแรง บินเต็มไปหมด
กลับมาที่โต๊ะอาหารกันดีกว่าเนอะ
ส่วนของเมนูอาหารวันนี้จะอยู่ที่โต๊ะครับ Main Couse ธีมนี้จะเนื้อครับ
ใครไม่กินเนื้อจะมีเมนูอื่นให้เลือกครับ
ส่วนจะเป็นอะไรนั้นเดี๋ยวบอกน้า
เริ่มต้นของมื้อค่ำด้วย Welcome Drink เรียกน้ำย่อยกันก่อน
Welcome Drink อาจจะยังไม่จุใจ
สามารถสั่ง ค็อกเทล หรือไวน์ เพิ่มได้นะครับ แต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจาก Course Set นะครับ
วันนี้ผมขอลอง…
“Lost Soul” (แก้วซ้าย) ลมแห่งความว่างเปล่า ดั่งวิญญาณที่ล่องลอย ไม่สามารถสัมผัสแต่รู้สึกได้ (Blanco Rum) ว้าววววว
ส่วนตัวผมชอบมากครับ อารมณ์ มาร์ตินี่ (Martini) แรงได้ที่ ห้าๆๆๆๆ
ส่วนอีกแก้ว “Sea Breeze” ลมทะเลจากหมู่เกาะที่มีลมพัดผ่าน (Smoke Whiskey)
รสชาตินุ่มกว่า แต่แอบแรง ผมว่าผมชอบแก้วแรกมากกว่าครับ ^^
ระหว่างที่รออาหารก็นั่งกินขนปังไปพรางๆ ก่อนเนอะ
จิ้มซอสสตอเบอรี่ รสชาติเข้มข้น
อร่อยดีครับ
แนะนำนิสนึง ว่าขนมปังกินร้อนออกมาใหม่ๆ จะอร่อยยิ่งขึ้นครับ
นั่งกินขนมปังซักแป๊บ
เมนู Amuse Bouche ของวันนี้มาแล้น… “Last Leaf” ไข่มดแดง เสิร์ฟบนใบชะมวง ราดด้วยซอสเปปเปอร์แจม
เชฟได้แรงบันดาลใจมาจาก…
ผลผลิตจากการเจริญเติบโตจากจุดกำเนิดของธรรมชาติและเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ธีมลม
สำหรับเมนูนี้ส่วนตัวผมว่าเหมือนเมี่ยงครับ
หวาน เค็ม มัน มาครบ
เวลากินต้องกัดใบชะมวงไปด้วยนะครับ
เรียกน้ำย่อยได้ดีไม่น้อย ^^
ต่อกันที่ “Finnest” กระทงทองทานคู่ซอสรสมิ้นต์ กับเกี๊ยวทอดสอดไส้ปูและครีสชีส
เชฟได้แรงบันดาลใจมาจาก…
Fine: ประณีต, ละเอียด Nest: รังของนก สิ่งมีชีวิตที่ใช้ลมหรืออากาศในการบินซึ่งใช้เป็นตัวแทนของธีมลมได้เป็นอย่างดี สื่อถึงการใช้วัตถุดิบที่ดีเลิศ มานำเสนอในรูปแบบคล้ายไข่นกในรังเป็นเมนูที่เรียกน้ำย่อยก่อนการโบยบินของนก เพื่อนำเข้าสู่เมนูถัดไป
ส่วนตัวผมชอบกระทงทองมากๆ ครับ พอดกินแล้วมันชุ่มชื่นในปากบอกไม่ถูกครับ
ยาวไป… ครับกับเมนูเรียกน้ำย่อย
“Tri-Angels” เนื้อกุ้งลายเสื้อผัดซอสมะนาวกระเทียมบนแป้งตอติญ่าทอดกรอบ
เชฟได้แรงบันดาลใจมาจาก…
ลักษณะของเมนูที่มีรูปร่างสามเหลี่ยม เปรียบดังปีกนางฟ้าที่ใช้โบยบินอยู่บนอากาศ
เมนูนี้ดูไม่ค่อยมีอะไรแต่รสชาติใช้ได้ครับ
ต่อกันที่เมนู Appetizer อย่าง…
“Vanilla Sky” เนื้อวากิว ทานคู่กับขนมผักกาด พร้อมซอสเนื้อที่ผ่านการรีดิวซ์ถึง 24 ชั่วโมง
ให้รสชาตินุ่มตัดกับความหวานของขนมผักกาด
เชฟได้แรงบันดาลใจมาจาก…
บรรยากาศพระอาทิตย์ยามเย็นที่กำลังจะลับขอบฟ้าเปรียบเนื้อวากิวเป็นพระอาทิตย์ลอยอยู่บนเมฆ (ขนมผักกาด)
ในบรรยากาศท้องฟ้าสีทอง
สำหรับเมนูนี้ผมโคตรชอบเลยครับ ก่อนกินใช้จมูกดมเข้าไปในแก้วนี้ก่อนครับ
แล้วค่อยๆ ตักเนื้อวากิวและขนมผักกาดออกมากินครับ
เนื้อวากิวนุ่มมากๆๆๆๆๆ ซอส หอม หวาน อร่อย โคตร
คนรักเนื้อเอาอีกแล้ว ห้าๆๆๆ
ต่อที่ Appetizer ต่ออีกซักเมนู…
“Sailor” หนวดปลาหมึกสไลด์บางพร้อมซอสยูซึโรยด้วยเยรูซาเล็ม อาติโช็ค สไลด์ทอดกรอบและไข่ปลา รสชาติเปรี้ยว สดชื่น
เชฟได้แรงบันดาลใจมาจาก…
การใช้ลมเป็นปัจจัยหลักในการเดินเรือเพื่อออกหาวัตถุดิบ
ปลาหมึกกรอบ ไม่เหนี่ยว รสชาติเปรี้ยวๆ สดชื่น จริงๆ ครับ อร่อยดี
ต่อกันยาวปาย… กับเมนู Soup ครับผม
“Monsoon” หอยเชลล์ ราดซุปจากสมุนไพรและหอยตลับที่นำมารีดิวซ์ เสิร์ฟพร้อมขนมปังกรอบ ให้รสชาติเปรี้ยว เผ็ด เข้มข้น
เชฟได้แรงบันดาลใจมาจาก…
ลมมรสุมที่พัดพาเครื่องเทศและสมุนไพรหลายชนิดมารวมอยู่ในจานนี้ เพื่อให้มีรสชาติที่หลากหลาย
สำหรับซุปชามนี้เชฟจะมาเทซอสเพิ่มให้ที่โต๊ะครับ
ส่วนของรสชาตแบบว่าหลากหลายมากๆ ครับ กินตอนแรกไม่กินซอสสีขาวตรงกลางจะคล้ายๆ กับโป๊ะแตก แต่พอกินซอสสีขาวเข้าไปด้วยจะคล้ายต้มข่าครับ
ทำให้ผมคิดได้ว่า… พื้นฐานของอาหารไทยเราก็มาจากรากเดียวกัน แต่เพิ่มโน่นนิด นี่หน่อย
ก็จะกลายเป็นเมนูอื่นต่อไปครับ ^^
ยาวปายกับเมนู Salad ครับผม
กับเมนู “Tropical Wind” ส้มซันคิส ราสเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ พร้อมซอสคีย์ไลม์ เปรี้ยว หวาน สดชื่น
เชฟได้แรงบันดาลใจมาจาก…
สีสันและความสนุกสนานของทะเลเขตร้อน
สำหรับเมนูนี้ผมว่าเป็นเมนู Refresh เตรียมเข้าสู่ Main Course ครับ
หน้าตาดูดี
แต่ให้ความรู้สึกเหมือนกินผลไม้กับพริกเกลือ ^^
Refresh กันอีกซัก 1 เมนูก่อนเข้า Main Course จริงจิ้ง
กับเมนู “Mango Sorbet” มะม่วงพริกเกลือครัมเบิล ทานล้างปากก่อนเข้าสู่ Main Course
เมนูนี้เหมือนมะม่วงน้ำปลาหวาน แต่มีความสดชื่นมากๆ ครับ
ถึงซักทีกับ Main Course ห้าๆๆๆๆ
เมนู Main Course ของผมก็คือ… “Northern Bouquet” เนื้อวากิวซูวี 24 ชั่วโมง พร้อมด้วยสมุนไพรนานาชนิดแล้วนำไปย่างไฟอ่อนให้เกิดกลิ่นหอมกรุ่น ทานคู่กับข้าวโพดเม็กซิกัน
เชฟได้แรงบันดาลใจมาจาก…
ลมที่พัดพาดอกไม้เมืองเหนือมารวมกัน เกิดเป็นการรวมตัวที่สวยงาม เปรียบเสมือนรสชาติที่กลมกล่อม
เมนูนี้เนื้อนุ่มฟินสุดๆ ครับ คนรักเนื้อ (Beer Lover) ต้องลองครับ
ซอสรสชาติกลมกล่อม ฟินเวอร์
ส่วนใครที่ไม่กินเนื้อ
ผมแนะนำเป็น Main Course “Cloud 9” เนื้อปูทานคู่กับข้าวเชฟฟรอนและเครื่องแกงกระหรี่
เชฟได้แรงบันดาลใจมาจาก…
เมฆสองก้อนลอยซ้อนกันบนอากาศ
ทำให้รู้สึกถึงความสุขเหมือนสำนวนว่า “I am on Cloud 9”
เมนูนี้ผมว่าเหมือนกับข้าวปูผัดผงกระหรี่เลยครับ
อร่อยใช้ได้
ปิดท้ายกันที่ของหวานอย่าง…
“Sugar High” & “Trio Spell” เครมบรูเล่+ข้าวเหนียวสังขยา และปลากริมไข่เต่า 3 ชิ้น กะทิเค็ม กะทิหวาน และกะทิเค็ม+หวาน
เชฟได้แรงบันดาลใจมาจาก…
ความเคลิ้บเคลิ้มจากความหวานที่ได้รับเป็นการปิดท้ายอาหารธีมลมที่สมบรูณ์แบบ
และเสียงที่เกิดจากเครื่องดนตรีสามชิ้นที่ใช้ลมเป็นตัวนำพาเสียง
ทั้งสองเมนูอร่อยครับ ส่วนตัวชอบ เครมบรูเล่และปลากริมไข่เต่ากะทิเค็ม+หวาน ครับ ผมว่ารสชาติกำลังดี
หลังจากอิ่มหน่ำสำราญกับสัมผัสทั้งห้าแล้ว
ก็ไปชมงานศิลปะปิดท้ายก่อนกลับบ้านกันอีกซักหน่อยนึงเนอะ
ส่วนของงานศิลปะก็มีการเปลี่ยนแปลงไปตามธีมลมครับ
ส่วนของ Glow Museum จะสร้างประสบการณ์จากรูป กลิ่น เสียง และสัมผัส
ภายใต้คอนเซปต์ “Wind & Mind” จากศิลปินชื่อดัง
อันนี้น่าสนใจครับ
เค้าจะให้เราเข้าไปด้านในแล้วหลับตา พร้อมกับให้เราทายว่า เรากำลังยืนอยู่ที่ไหนครับ
แอบทายยากเหมือนกัน ^^
อีกอันนึงที่น่าสนใจก็คือ “กลิ่นก้นครัว” จะเป็นการใช้พัด พัดลมเข้าหาเรา
ที่ใบของพัดจะมีกลิ่นต่างๆ
บางอย่างเราพัดพร้อมกัน 2 อัน เราจะได้กลิ่นที่แตกต่างกันออกไปครับ
อันนี้ต้องไปลองกันเองนะครับ ว่ามีกลิ่นอะไรบ้างครับ ^^
รีวิวนี้เป็นรีวิวที่ยาวใช้ได้ แต่ผมชอบที่เค้ามีแรงบันดาลใจมีการบรรยายถึงอาหาแต่ละเมนูครับ มันดูมีอะไร เห็นถึงความใส่ใจ กินไป ฟังไป ได้อารมณ์ร่วมมากๆ ครับ ห้าๆๆๆๆ
มาสรุปภาพรวมของ “วังหิ่งห้อย” กันดีกว่านะครับ อาจจะได้คะแนนไม่เท่าครั้งก่อนนะครับ ^^
ส่วนของบรรยากาศผมชอบมากครับ แต่ส่วนตัวคิดว่าถ้านั่งกินอาหารไปชมหิ่งห้อยไป น่าจะดีมากๆ ครับ แต่อาจจะทำได้ยากเนื่องจากคนนั่งอาจจะเสียจอแจเกินไปทำให้หิ่งห้อยไม่ออกมาให้เห็น ส่วนของรสชาติอาหารผมว่าอร่อยมากครับ ส่วนตัวผมชอบมากกว่าธีมดินนะครับ ส่วนของราคาผมว่าไม่แพงนะครับ ถ้าเที่ยวกับการกินอาหารภายในโรงแรม เนื้อวากิวก็หลายตังละ ห้าๆๆๆ
ใครสนใจอยากที่จะตามรอยผมไปลองชิมอาหารที่วังหิ่งห้อย ธีมลม ไปกันได้เลยครับ ที่ สนามกอล์ฟ R.C.A Driving Range ถ.กำแพงเพชร 7 ครับ ส่วนของคอนเซปต์ธีม “ลม” จะมีตั้งแต่วันนี้-เดือนพฤษจิกายน 2561 เท่านั้นนะครับ สำรองที่นั่งได้ที่ โทร 091-979-6226 หรือ info@wanghinghoi.com ครับผม